ในช่วงปี 2016 ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของโค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง สามารถก้าวข้ามอาเซียนมาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกทีมในแถบนี้ไม่ใช่คู่ต่อกรของเราอีกต่อไป เจอใครก็เก็บได้หมด หลังจากแฟนบอลหมดศรัทธากันมาเนิ่นนาน แต่ซิโก้สามารถจุดกระแสบอลไทยให้กลับมาฟีเวอร์สุด ๆ ได้อีกครั้ง
ตอนนั้นเป้าหมายของพวกเราคือพยายามขยับเข้าใกล้และลดช่องว่างระหว่างเรากับ “ระดับเอเชีย” ให้ได้มากที่สุด ซึ่งทิศทางกำลังเป็นไปได้ด้วยดีนะครับ ทีมชาติไทยสามารถเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียได้ ไปอยู่ร่วมสายกับ ญี่ปุ่น, ซาอุดิอาระเบีย, ออสเตรเลีย, ยูเออี และ อิรัก ซึ่งล้วนแล้วแต่เหนือกว่าเราทั้งสิ้น
ในมุมของแฟนบอล พวกเขาเข้าใจดีว่า ทีมชาติไทยยังเป็นรอง เสือ สิงห์ กระทิง แรด เหล่านี้มากนัก ยังไม่ได้หวังว่าจะต้องเอาชนะทีมเหล่านี้ และไปลุยฟุตบอลโลกให้ได้ในตอนนี้เลย ขอแค่ได้มีโอกาสลงเล่นกับทีมแข็ง ๆ แบบนี้ เพื่อเก็บประสบการณ์ เพื่อยกระดับทีมชาติตัวเอง ไว้ใช้ต่อยอดในภายภาคหน้า
ผลการแข่งขันที่ออกมาแม้จะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องพลิกล็อคอะไรมากมายนะครับ เราลงเล่น 5 นัดแรก แพ้ไป 4 และเสมอ 1 เก็บได้เพียงคะแนนเดียวจากเกม เปิดบ้านเสมอกับ ออสเตรเลีย ก่อนจะมาแพ้รวดอีกสองเกมให้กับ ซาอุฯ และ ญี่ปุ่น โดยหลังจบเกมที่ทัพช้างศึกบุกไปแพ้ให้กับ ญี่ปุ่น ที่ไซตามะ ด้วยสกอร์ 4-0 คือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ โค้ชซิโก้ ทนแรงกดดันจากสมาคมฟุตบอลไม่ไหว ตัดสินใจลาออกรับผิดชอบความน่าอับอายในสายตาของสมาคม ก่อนจะแต่งตั้ง มิโลวาน ราเยวัช อดีตกุนซือทีมชาติกาน่า ชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก 2010 มาทำหน้าที่แทน แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ฟางเส้นสุดท้ายคือ การพาทีมชาติไทย โดน อินเดีย ถล่ม เละเทะ 4-1 นั่นทำให้ ราเยวัช โดนปลดทันที แม้ยังไม่จบทัวร์นาเมนต์
หลังจบศึกเอเชี่ยน คัพ ทีมชาติไทยประกาศแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยมาแทนอีกที เป็นการรีเซ็ตใหม่ที่แฟนบอลค่อนข้างตั้งความหวังไว้มาก โค้ชชาวญี่ปุ่นรายนี้โปรไฟล์ดูดี เคยเกือบพาทีมชาติญี่ปุ่นคว่ำ เบลเยียม ได้ในรอบ 16 ทีมฟุตบอลโลก ทั้งที่ขึ้นนำก่อนถึง 2-0 แต่โดนรัวยิงแซงไปอย่างน่าเสียดาย การพาทีมชาติญี่ปุ่นต่อกรกับทีมอย่างเบลเยียมที่มีนักเตะระดับโลกล้นทีมได้ดีขนาดนั้น น่าสนใจว่า เขาจะพาทีมขยับเข้าไปใกล้กับระดับเอเชีย ได้มากกว่าในระกับที่โค้ชซิโก้เคยทำได้หรือไม่
3 นัดแรกภายใต้แม่ทัพอย่าง นิชิโนะ เหมือนฝันเลยครับ ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย นี่ล่ะ ไทยรั้งอันดับ 1 ของกลุ่ม จากการ เสมอเวียดนาม (แบบน่าชนะ), ชนะอินโดนีเซีย 3-0 และมาสเตอร์พีซ คือการชนะ ยูเออี อย่างสวยงามไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยแมน ออฟ เดอะ แมตช์คือ เอกนิษฐ์ ปัญญา ดาวรุ่งจาก เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มฮอตมาก ยิง 1 จ่าย 1 แฟนบอลมีความสุขกันสุด ๆ กระแสบอลไทยฟีเวอร์กำลังจะกลับมาอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นสัญญานแปลก ๆ ก็เริ่มปรากฏออกมาเริ่มตั้งแต่เกมต่อไปที่จะพบกับ มาเลเซีย
จริงอยู่การไปเยือนมาเลเซีย ที่บูกิต จาลิล ไม่เคยเป็นงานง่าย แต่การตัดสินใจของ นิชิโนะ ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย
มาฮามาดู ซูมาเร่ กองหน้าตัวความหวังของมาเลเซีย ผู้มีจุดเด่นที่ความเร็ว แต่ร่างกายไม่ได้สูงใหญ่ นิชิโนะ กลับเลือกใช้ เอเลียส ดอเลาะ ผู้มีจุดเด่นที่ความสูง ลงเล่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสเกมกับทีมชาติใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว อีกทั้งทีมยังมี พรรษา เหมวิบูลย์, อดิศร พรหมรักษ์ ที่เป็นขาประจำของทีมชาติอยู่ในทีม หรืออย่างแย่ ก็ยังมี ธนบูรณ์ เกศารัตน์ ที่เคยถอยมารับบทบาทตรงนี้และทำได้ดี รอคอยโอกาสอยู่ ผลที่ตามมาคือ เห็นได้ชัดเลยว่าเกมรับของไทยมีปัญหา จนโดน มาเลเซีย ยิงแซงชนะไป 2-1 ถึงแม้จะขึ้นนำก่อน
การเปลี่ยนตัวก็เช่นกัน ในช่วงท้ายเกม หลังไทยตามมาเลเซียอยู่ 2-1 เรายังเหลือโควตาให้เปลี่ยนแก้เกมอยู่ถึง 2 คน แต่กว่าจะเปลี่ยนต้องรอไปถึงนาทีที่ 83 เมื่อส่ง บดินทร์ ผาลา ลงมาแทน เอกนิษฐ์ ถามว่า เวลาน้อยขนาดนั้นจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และอีกคน คือส่ง นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ลงมาแทน ทริสตอง โด ในช่วงทดเวลา อันนี้เปลี่ยนเพื่ออะไร?
จากความพ่ายแพ้มาเลเซีย นั่นทำให้ในเกมต่อมา สถานการณ์บีบบังคับให้ไทยต้องบุกไปเอาชนะ เวียดนาม แต่ด้วยโมเมนตัมที่เวียดนามกำลังคึกสุดขีดจากการเพิ่งเอาชนะ ยูเออี มาได้ ส่วนเราต้องลงเล่นในสถานการณ์ที่กดดัน สุดท้ายก็เอาชนะไม่ได้ และต้องมาเหนื่อยสุด ๆ ใน 3 เกมสุดท้าย
ก่อนเกมเจอ อินโดนีเซีย ทัพช้างศึกต้องพบกับข่าวร้ายเมื่อจะไม่มีสองแข้งเจลีกอย่าง อุ้ม ธีราทร และ เจ ชนาธิป โดยรายแรกนั้นขอถอนตัวเพราะความไม่สะดวกในเรื่องของโควิด ส่วน เจ นั้นได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวไป เช่นเดียวกับ ธีรศิลป์ แดงดา ที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์จนต้องถอนตัวไปเช่นกัน
จริงอยู่ว่าการขาด 3 ตัวหลักนี้ไปมันจะทำให้ศักยภาพของทีมชาติไทยไม่เท่าเดิม และอาจจะต้องเหนื่อยแน่ ๆ ในเกมที่จะต้องพบกับ ยูเออี ในแมตช์ต่อไป แต่เกมที่อยู่ตรงหน้าในการเจอกับ อินโดนีเซีย คุณไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากชนะ และถ้าไม่ชนะ คุณก็ไม่สมควรเอ่ยข้ออ้างอะไรทั้งนั้น เมื่อดูจากการที่ อินโดนีเซีย ไม่มีเกมลีกให้ลงเล่นมาอย่างยาวนาน แถมนักเตะที่ใช้สู้กับไทยส่วนใหญ่เป็นพวกดาวรุ่งไร้ประสบการณ์แทบทั้งสิ้น โดยมีมากกว่า 20 คน ที่อายุยังไม่ถึง 23 ปี แต่ไทยยังกล้า ๆ ทำได้แค่เสมอกับอิเหนาไป 2-2 นี่คือแต้มแรกของ อินโดนีเซีย ในรอบนี้ หลังจาก 6 เกมก่อนหน้านี้พวกเขาแพ้รวด จากผลการแข่งขันนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายอีกเช่นเคยครับ
ในเกมที่ต้องชนะ แต่นิชิโนะกลับเลือกเก็บ สุภโชค และ ศุภณัฏฐ์ ไว้ข้างสนาม เป็นการตัดสินใจที่ประมาทเกินไปหรือไม่?
ตำแหน่งแบ็คซ้าย ที่เราขาดตัวสำคัญอย่าง อุ้ม ธีราทร ไป มันสมควรจะเป็น เอร์เนสโต้ ภูมิภา ไหม? ถัดขึ้นมาในตำแหน่งปีกซ้าย เอกนิษฐ์ ปัญญา ผู้แทบไม่ได้ลงเล่นเลยในศึกไทยลีก จากปปัญหาอาการบาดเจ็บ ต่อเมื่อกลับมาก็ยังเล่นได้ไม่เหมือนเดิม และแทบไม่ได้ลงเล่นให้กับ เชียงราย ยูไนเต็ด เลยตลอดฤดูกาล สมควรได้ออกสตาร์ทตัวจริงหรือ?
ทางฝั่งขวา ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ มีดีพอจริงหรือไม่กับการได้ลงเล่นตัวจริงให้กับทีมชาติไทย ตลอดทั้งเกมกับ อินโดนีเซ๊ย น่าจะเป็นคำตอบนะครับ เมื่อเขาทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง และเขามีดีกว่าท็อปแอสซิสต์ไทยลีกอย่าง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ตรงไหน
การเปลี่ยนตัวช้าก็ยังคงเป็นปัญหาอีกเช่นเคยในเกมนี้ เอร์เนสโต้ ภูมิภา ซ้ายผ่านตลอดของไทยในเกมนี้ กว่าจะโดนถอดออก เพื่อเปลี่ยน ศศลักษณ์ ไหประโคน ลงไปแทน ต้องรอถึงนาทีที่ 80 ทั้ง ๆ ที่ควรเปลี่ยนตั้งแต่หลังจบพักครึ่งแล้วด้วยซ้ำ อดิศักดิ์ ไกรษร ก็แสดงอาการให้เห็นว่า “หมด” ตั้งนานแล้ว แต่กว่าจะเปลี่ยนเอา ศุภชัย ใจเด็ดลงมาแทน ก็นาทีที่ 87
สิ่งดีดีสิ่งเดียวในเกมนี้คือ การค้นพบ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตรถาวร จากเลสเตอร์ มีแค่นั้นเลยครับ…ถ้าไม่นับทรงผมใหม่ของสุภโชค
จากการเสมออินโดนีเซียนั่นทำให้ชาติที่ประกาศตัวเองว่าเป็น “เบอร์หนึ่งอาเซียน” อย่างทีมชาติไทย ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในการดวลกับทีมจากอาเซียนด้วยกัน พวกเขาคว้าชัยไปได้ “1 นัดถ้วน” ครับ จากการเล่นในบ้านและเอาชนะอินโดนีเซีย ที่เหลือคือเสมอ 3 และแพ้ 1
สิ่งที่แฟนบอลชาวไทยเกือบทั้งหมดเห็นในเกมกับ อินโดฯ คือ มานูเอล ทอม เบียห์ร กับ สุพรรณ ทองสงค์ ไม่สามารถยืนคู่กันได้
เอร์เนสโต้ ภูมิภา, เอกนิษฐ์ ปัญญา และ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ยังดีไม่พอที่จะได้ลงเล่นในตอนนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เอกนิษฐ์ ปัญญา ยังคงได้ลงเล่นต่อไปครับ ทอม เบียห์ร กับ สุพรรณ ก็ยังคงได้จับคู่กันเช่นเดิม ในเกมกับ ยูเออี และคราวนี้ส่งสามแนวรุกจาก บุรีรัมย์ ลงเล่นด้วยกัน ทั้ง สุภโชค, ศุภณัฏฐ์ และ ศุภชัย โดยใช้ สุภโชค ลงเล่นในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ตรงกลางสนาม
แฟนบอลชาวไทยทุกคนรู้ดีครับ พิษสงของเจ้าเช็คคืออะไร เขาเป็นกองหน้ากึ่งปีกที่มีความแร็ว และสร้างโอกาสทำประตูได้ดี แต่เราจับเขามาทำเกมตรงกลางสนามเสียอย่างนั้น เข้าใจดีว่าตอนนี้ทีมขาด เจ ชนาธิป ไป แถม กันต์ ธนวัฒน์ ดันมาเจ็บไปอีก แต่เรายังมี สุมัญญา ปุริสาย อยู่อีกไม่ใช่หรือในตำแหน่งนี้ ทำไมเจ้าตั๊ดถึงไม่ได้โอกาสเลยล่ะ? และการจับ สุภโชค ไปยืนตรงกลางสนาม เป็นการทำเสียของเปล่า ๆ หรือไม่?
หลังจบครึ่งแรกทีมชาติไทยตามอยู่ 2-0 นิชิโนะ แก้เกมด้วยการ ส่ง เอร์เนสโต้ ภูมิภา กับ สถาพร แดงสี ลงมา เป็นการเปลี่ยน 2 จาก 4 ตัวในแนวรับ โดยถอด สุพรรณ ออก ทีมงานเพิ่งจะรู้ตัวระหว่างเกมหรือว่าเซนเตอร์คู่นี้ (เบียห์ร-สุพรรณ) ลงเล่นด้วยกันไม่ได้
กว่าจะเปลี่ยน เอกนิษฐ์ ที่ก็ยังคงทำได้แค่แปะบอลไปมาเหมือนเดิม ออกจากสนาม ก็นาทีเท่าไหร่เข้าไปแล้ว และตัวที่ลงมาแทนคือ ปฐมพล!! ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ใดใดได้เหมือนเดิม
การเปลี่ยนตัวแก้เกมของ นิชิโนะ ทุกตัวที่ลงมา ไม่สามารถสร้างความแตกต่างใดใดได้เลย และจบเกมไปด้วยสกอร์ 3-1 โดยที่ถ้า อาลี มับคุต ไม่ผีออก และ แชมป์ ศิวรรักษ์ ผู้รักษาประตูไทย ไม่ผีเข้า ต้องมี 5-1 เป็นอย่างต่ำแน่ ๆ
ภารกิจ “บอลไทยไปบอลโลก” ก็เอวังด้วยประการฉะนี้
เป็นอีกครั้งที่เราต้องกลับมาเริ่มนับ 1 กันใหม่ครับ น่าเสียดายตรงที่ ทรัพยากรทุกอย่างเราพร้อมแล้วที่จะก้าวในสเต็ปต่อไป บางทีอาจจะดีกว่าในยุคที่เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายเมื่อ 4 ปีที่แล้วเสียด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นเรากลับเดินถอยหลังมาตลอด
ถ้าผลงานเมื่อ 4 ปีที่แล้วถือว่าไม่เป็นที่น่าพอใจของสมาคม ถึงวันนี้อะไรบ้างที่เราพัฒนาขึ้นมาจากวันนั้นล่ะ? ที่แน่ ๆ คือ ณ เวลานี้ ทีมชาติไทยไม่สามารถพูดได้เต็มปากอีกแล้วว่า “เราคือเจ้าแห่งอาเซียน” ก็คงถึงเวลาที่จะต้องสังคายนาใหม่หมดอีกครั้งแล้วล่ะ
กัปตันแจ๊คซ์