5 มิถุนายน 2021 // 12:07 น.

จาก ‘โคล้ด มาเกเลเล่’ ถึง ‘เอ็นโกโล่ ก็องเต้’

สืบเนื่องจากเกมสิงห์จมเรือในนัดชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020-21 เป็นการคว้าแชมป์ครั้งที่ 2 ของ เชลซี อย่างยิ่งใหญ่ชนิดที่ว่าหักปากกาเซียนทุกสำนัก และในความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการวางแผนอันชาญฉลาดของ โธมัส ทูเคิ่ล และทีมงานสตาฟโค้ช บวกกับความสามารถของนักเตะที่มีอยู่ หลายคนโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการนี้ เอดูอาร์ เมนดี้, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, เบน ชิลเวลล์, จอร์จินโญ่, เมสัน เมานท์ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ พากันพาเหรดติดทีมยอดเยี่ยม 23 คนของแชมเปี้ยนส์ ลีก

ในบรรดา 7 นักเตะที่กล่าวถึงข้างต้น แน่นอนว่าต่างมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ เชลซี มุ่งสู่ความสำเร็จเป็นแชมป์สมัยที่ 2 เฉกเช่นเดียวกับนักเตะคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมกับทีม แต่คนที่โดดเด่นที่สุดจนถูกเชื่อมโยงไปถึงโอกาสคว้ารางวัลส่วนบุคคลที่ได้รับการยอมรับที่สุดอย่าง “บัลลง ดอร์” ก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้

กองกลางเฟร้นช์แมน ได้รับการยกย่องอย่างมากในปีนี้ ทั้งในพรีเมียร์ลีกและรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ยอดทีมจากสเปนทั้ง 2 นัด เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เก็บกวาดพื้นที่แดนกลางได้อย่างหมดจดจน โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช, กาเซมิโร่ แทบจะไร้บทบาทในแดนกลางของมาดริด จน ก็องเต้ เจ้าของฉายานักเตะผู้มี 15 ปอด คว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ได้ทั้งเกมเหย้าและเยือน จนมาในนัดชิงชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ก็ยังทำผลงานได้ดีเช่นเคย มีบทบาทสำคัญ ปิดการขึ้นเกมได้จากทั่วทั้งสนาม และคว้าแมนออฟเดอะแมตช์เป็นการส่งท้ายได้อีกก่อนขึ้นบัลลังก์แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

และไม่ใช่เพียงแค่ปีนี้เท่านั้นสำหรับฟอร์มอันยอดเยี่ยมของกองกลางเฟร้นช์แมน ก็องเต้ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมสมัยสร้างนิยายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2015-16 จนกระทั่ง เชลซี พรากตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวราว 32 ล้านปอนด์ โดย ก็องเต้ ตอบแทนด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเชลซี ปี 2016-17 กลายเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ 2 ปีติดจาก 2 สโมสร แต่ถัดจากฤดูกาล 2017-18 ก็องเต้ ฟอร์มดร็อปลงไปจากบทบาทใหม่ที่เขาได้รับภายใต้ระบบของ อันโตนิโอ คอนเต้ ในปีที่ 2 เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดนจับไปเล่นตัวกลางคอยทำเกม โดยมี จอร์จินโญ่ ยืนต่ำกว่าในตำแหน่งของเขา บวกกับอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้ชื่อของ ก็องเต้ ดูจะเงียบ ๆ ไป ถึงขั้นเคยมีข่าวเรื่องการย้ายทีมของเจ้าตัวทั้งในยุคของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กระทั่งการมาของ โธมัส ทูเคิ่ล ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาเป็นสุดยอดกองกลางตัวรับอีกครั้ง

ผ่านมา 5 ปีกับเชลซี ก็องเต้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 1 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย

นอกจาก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แล้ว นับได้ว่า เชลซี ในยุคของ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซีย ที่เข้ามาบริหารสโมสรตั้งแต่ปี 2004 ภายใต้เม็ดเงิน 140 ล้านปอนด์ในการซื้อ เชลซี ต่อจาก เคน เบตส์ นั้นไม่เคยห่างหายจากการมีนักเตะ ระดับโลก ในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ เลยก็ว่าได้ จากการมาถึงของ โรมัน อบราโมวิช เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายภายในทีม เริ่มด้วยการดึง โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีมพร้อมทุ่มเงินมหาศาลในการพานักเตะชั้นนำเข้าสู่ทีม เป็นการเริ่มต้นยุคทองของเชลซีเมื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2004-05 นับเป็นการครองแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว และหนึ่งในกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของเชลซียุคนั้นคือ โคล้ด มาเกเลเล่

โคล้ด มาเกเลเล่ เป็นกองกลางตัวรับชาวฝรั่งเศสเช่นเดียวกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดย มาเกเลเล่ ในวัย 30 ปี ย้ายมาร่วมทีมเชลซีในปี 2003 หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ เรอัล มาดริด ยุคกาลาคติกอส ที่เชลซีในฤดูกาล 2004-05 โคล้ด มาเกเลเล่ ลงสนามให้เชลซีไปถึง 50 นัดจากทุกรายการ พาเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกพ่วงด้วยแชมป์ ลีก คัพ และป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปีถัดมา โคล้ด มาเกเลเล่ ลงเล่นทั้งหมด 217 นัดจากทุกรายการตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เชลซี โดยคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1สมัย และลีกคัพอีก 2 สมัย

ในปี 2008 มาเกเลเล่ ช่วยเชลซีผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรก แม้สุดท้ายจะพ่ายให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการดวลจุดโทษ โดยเกมนั้นถือเป็นเกมสุดท้ายของเขากับเชลซี โคล้ด มาเกเลเล่ คือสุดยอดกองกลางตัวรับของยุคนั้นอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่หลังจากเขาย้ายออกจาก เรอัล มาดริด ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายของยุคกาลาคติกอสเลยทีเดียว และนับเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด ณ ตอนนั้นต้องลาออกและออกมายอมรับความผิดพลาดที่ปล่อยตัวมาเกเลเล่ไปให้กับเชลซี

หลังการจากไปของ โคล้ด มาเกเลเล่ ในปี 2008 เชลซีไม่ได้ปล่อยให้ตำแหน่งนี้เกิดช่องโหว่ มิคาเอล เอสเซียง คือคนที่แทนตำแหน่งได้อย่างดีเยี่ยม อันที่จริงแล้วกองกลางชาวกานา เล่นร่วมกันกับ มาเกเลเล่ อยู่ก่อนแล้ว 3 ปี โดย เอสเซียง ย้ายจากโอลิมปิก ลียง ในปี 2005 ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เอสเซียง สามารถเล่นได้ทั้งเกมรุกและรับ จุดเด่นคือการตัดเกมและพาบอลตะลุยไปข้างหน้าได้ดี แถมมีทีเด็ดจากการยิงไกลอีกด้วย ภายหลังหมดยุคมาเกเลเล่ เอสเซียง ลงมาเล่นเกมรับอย่างเต็มตัวมากขึ้นเคียงข้าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด, มิชาเอล บัลลัค และ เดโก้ โดยมี จอห์น โอบี มิเกล ดาวรุ่งชาวไนจีเรียเป็นตัว Support ในเวลานั้น และยุคนั้นถือเป็นแผงกลางที่ดีที่สุดยุคหนึ่งของเชลซีเลยทีเดียว โดยตลอดระยะเวลาที่เชลซี มิคาเอล เอสเซียง คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย

หลังการคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกของสโมสร ปี 2012 ถือเป็นยุคสิ้นสุดของ มิคาเอล เอสเซียง กับเชลซี ก่อนปล่อยยืมให้ เรอัล มาดริด และขายขาดให้ เอซี มิลาน ในปี 2014 การขาดหายไปของกองกลางชาวกานา ถูกแทนที่ด้วย จอห์น โอบี มิเกล ในฤดูกาล 2007-08 มิเกล ได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร และด้วยความแข็งแกร่งบวกทักษะที่ดีในการเล่นกับบอล ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของเชลซี โอบี มิเกล เล่นให้เชลซีถึงปี 2017 ลงเล่นไป 249 นัดจากทุกรายการ นับสิบปีกับเชลซีภายใต้การคุมทีมของกุนซือ 9 คน มิเกล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย,เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, ยูโรป้า ลีก 1สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีก อีก1สมัย แม้ช่วงหลังเขาจะหลุดเป็นตัวสำรองและแทบไม่ได้ถูกใช้งานก็ตาม

โดยการกลับมารอบ 2 ของ เนมานย่า มาติช ในปี 2014 ทำให้ โอบี มิเกล ต้องหลุดทีมไป ก่อนหน้านั้นในปี 2009-2011 กองกลางชาวเซิร์บเจ้าของค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์มีโอกาสลงเล่นแค่ 2 เกม ไม่สามารถเบียดขึ้นชุดใหญ่ได้ ทำให้เชลซียอมปล่อยขายขาดให้กับเบนฟิก้า แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอของมิเกลเอง บวกกับฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของ มาติช กับเบนฟิก้า ทำให้เชลซียอมขาดทุนซื้อตัวกลับมาอีกครั้งในปี 2014 ด้วยค่าตัว 21ล้านปอนด์ จากนั้น มาติช คือตัวหลักในแดนกลางเกมรับของเชลซีมาตลอด มีส่วนในการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย ความสามารถของ มาติช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและถูกยกย่องให้เป็นกองกลางตัวรับที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในตอนนั้น จนกระทั่งการมาของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้ มาติช ต้องหลีกทางและย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2017 เช่นเดียวกันกับ จอห์น โอบี มิเกล ที่เลือกที่จะย้ายไปค้าแข้งกับลีกจีนแทนในปีเดียวกัน

เชลซี ภายใต้ยุค โรมัน อบราโมวิช ไม่เคยขาดหายความเป็นระดับโลกในตำแหน่งกองกลางตัวรับ จาก โคล้ด มาเกเลเล่ สู่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ถือเป็นกลไกสำคัญในความสำเร็จต่าง ๆ ของเชลซี ไม่น้อยไปกว่าตำแหน่งอื่น ๆ แม้ฟุตบอลจะตัดสินกันที่การทำประตู แต่การเล่นแบบปิดทองหลังพระของผู้เล่นในตำแหน่งนี้ ก็อาจเป็นตัวชี้วัดผลของการแข่งขันของเกม อาจถึงเวลาที่ผู้เล่นในตำแหน่งนี้จะได้รับการยอมรับกว่าที่ควรจะเป็น และถ้าหาก ฝรั่งเศส สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้ ก็คงไม่แปลกที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จะเป็นผู้ชนะรางวัล บัลลง ดอร์ 2021

– สิฎฐิเศรษฐ์ –