.
ภายหลังจาก ขุนพลอัซซูร์รี่ ทีมชาติอิตาลี กรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป #ยูโร2020 ได้สำเร็จ ปราบทัพกระทิงดุ ทีมชาติสเปน ได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน หลัง 120 นาทียังกินกันไม่ลงที่ 1-1 และคนที่เป็นคนยิงตัดสินชี้ขาดเกมนี้คือ กองกลางจากเชลซี “จอร์จินโญ่”
.
หลังการยิงจุดโทษตัดสินผ่านไป 3 คน ผลยังเสมอกันที่ 2-2 และถัดมาที่คนที่ 4 ฝั่งอิตาลีได้ยิงก่อน และเป็น เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ ซัดเต็มข้อไม่พลาดให้อิตาลีขึ้นนำ ด้านฝั่ง สเปน ส่ง อัลบาโร่ โมราต้า ฮีโร่ใน 90 นาทีลงมายิง และเป็น โมราต้า เองที่พลาดยิงไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ทำให้อิตาลีกุมความได้เปรียบแบบสุด ๆ คนที่ 5 ฝั่งอิตาลีถ้ายิงเข้าเป็นอันเกมจบ และก็เป็น จอร์จินโญ่ นั่นแหละที่ยิงได้เยือกเย็นเหลือเกิน พาอิตาลีเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อังกฤษ ที่หืดขึ้นคอไม่ต่างกันกว่าจะผ่าน เดนมาร์ก ได้ใน 120 นาที จากจังหวะจุดโทษ (หรือเปล่านะ) โดยเป็น แฮร์รี่ เคน ที่ซ้ำดาบสองจากการพลาดจุดโทษจังหวะแรกของตัวเองเข้าไป
.
อิตาลี ภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ยกระดับขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อเพียงระยะเวลาแค่ 2 ปีหลังการตกรอบคัดเลือกบอลโลกปี 2018 ด้วยผลงานสุดบู่ของ จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า
.
โรแบร์โต้ มันชินี่ เปลี่ยนจากทีมที่เน้นเกมรับเหนียวแน่น มาเป็นทีมที่พร้อมจะไล่ล่าประตูคู่แข่งได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ และหนึ่งในกลจักรสำคัญที่มีส่วนรวมกับเกมของอิตาลีเป็นอย่างมากในยุคของ มันชินี่ ก็คือกองกลางสายเลือดแซมบ้าอย่าง จอร์จินโญ่ นั่นเอง
.
จอร์จินโญ่ หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า “จอร์จ ลุยซ์ เฟรลโล่ ฟิลโญ่” เกิดที่เมืองอิมบิตูบ้า ประเทศบราซิล ก่อนย้ายมาอยู่ อิตาลี ในวัย 15 ปี และเริ่มต้นเป็นนักเตะเยาวชนของ เฮลลัส เวโรน่า ก่อนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2010
.
ชื่อของ จอร์จินโญ่ เริ่มเป็นที่พูดถึงจากหลายฝ่าย ภายหลังการออกมาให้สัมภาษณ์ของอดีตเจ้านายเก่าอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่ โดยกุนซือคนปัจจุบันของ ลาซิโอ ได้ออกมาแสดงความมั่นใจว่า จอร์จินโญ่ อดีตลูกทีมคนโปรดมีโอกาสดีที่จะได้ลุ้นรางวัล บัลลง ดอร์ ในปีนี้ หากสามารถพา อิตาลี เป็นแชมป์ยูโร 2020
.
และถ้า อิตาลี คว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้จริง ๆ ก็อาจจะพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แม้ฟอร์มโดยรวมของ จอร์จินโญ่ จะไม่ได้หวือหวาอะไรนัก แต่เจ้าตัวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขามีความสำคัญมากแค่ไหน กับทั้งทีมชาติและสโมสร
.
หลังย้ายตามเจ้านายเก่า จาก นาโปลี มายัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในเดือน ก.ค. 2018 จอร์จินโญ่ ได้รับการคาดหวังพอสมควร เนื่องจากสมัยค้าแข้งกับ นาโปลี จอร์จินโญ่ ถือเป็นกองกลางเทคนิคดีคนหนึ่ง การอ่านจังหวะเกม การเคลื่อนที่และการจ่ายบอลถือว่าทำได้ดีในบทบาทเพลย์เมกเกอร์ของทีม แต่กับเชลซี แฟนบอลต้องการกว่านั้นในการแทนที่ของ เชส ฟาเบรกาส
.
แม้ในฤดูกาลแรกที่ลงเล่นให้ทีมสิงห์บลู จอร์จินโญ่ จะได้โอกาสลงทำเกมไปถึง 54 นัดจากทุกรายการ และเป็นการลงตัวจริงแทบทุกนัดด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับการค่อนขอดจากนักวิจารณ์ทั้งหลายว่าเหตุที่ทำให้เขาได้เป็นตัวจริงตลอดเพราะว่า เขาคือ “ลูกรัก” ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ตั้งแต่สมัยอยู่ นาโปลี ด้วยกัน เนื่องจากเขาแทบไม่ได้สร้างสรรค์โอกาสการทำประตูให้เพื่อนเลยนอกจากการถ่ายบอลไปมา และมีดีที่การยิงจุดโทษที่เป็นสไตล์ของตัวเองเท่านั้น
.
ปีที่ 2 ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของจอร์จินโญ่ดูยากขึ้นไปอีก เมื่อนายที่รักต้องจากไป แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก้าวเข้ามาแทนที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ในตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่เขากลับแสดงให้หลายคนเห็นว่า เขามีความสำคัญกับทีมในแบบฉบับของเขา จอร์จินโญ่ อาจไม่ได้มีจังหวะจ่ายบอลแบบคิลเลอร์พาส หรือสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูให้เพื่อนมากนักแบบฟาเบรกาส แต่โดดเด่นมากในการคุมจังหวะของเกมในแดนกลาง การจ่ายบอลที่แม่นยำ อีกทั้งยังช่วยตัดบอลในจังหวะสวนกลับได้อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย 2019-2020 จึงกลายเป็นฤดูกาลที่ดีของเขา โดยเฉพาะการเล่นร่วมกันกับ มาเตโอ โควาซิซ เมื่อ ไม่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เจ็บยาว
.
ฤดูกาล 2020-21 จอร์จินโญ่ หลังได้รับเลือกให้เป็นรองกัปตันทีม ยังคงมีบทบาทในแดนกลางของเชลซี แต่การกลับมาจากอาการบาดเจ็บของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้สถานะของ จอร์จินโญ่ เริ่มไม่มั่นคง เขาถูกพักข้างสนามอยู่หลายเกมช่วงครึ่งฤดูกาลในยุค แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซึ่งชัดเจนที่ระบบของ แลมพาร์ด ในฤดูกาลนั้นต้องการที่จะเน้นเกมบุกมากขึ้น จากการถูกตั้งความหวังไว้สูงกว่าฤดูกาลก่อน มีการเสริมตัวนักเตะในแนวรุกเข้าสู่ทีมมากมาย และการเล่นเกมบุกเต็มรูปแบบของทีม ทำให้ จอร์จินโญ่ ไม่สามารถตอบโจทย์นั้น เพราะเมื่อเวลาทีมดันขึ้นสูงแล้วจำเป็นต้องมีตัวตัดเกมที่ดีเมื่อเวลาโดนลูกสวนกลับ ซึ่ง เอ็นโกโล่ กองเต้ ดีกว่าชัดเจนในจุดนี้ ขณะที่การเล่นเกมรุกที่รวดเร็วก็ไม่ใช่งานถนัดของ จอร์จินโญ่ นัก การถ่ายบอลไปมาไปมาจากซ้ายไปขวาของ จอร์จินโญ่ ถูกมองว่าไม่มีประโยชน์และดูจะช้าเกินไปไม่เหมาะกับระบบของเชลซีในยุคแลมพ์ส
.
จนกระทั่งการมาถึงของ โธมัส ทูเคิ่ล ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง จอร์จินโญ่ เหมือนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ด้วยสไตล์การเล่นของเขาเหมาะกับระบบของ โธมัส ทูเคิ่ล เป็นอย่างมาก จอร์จินโญ่ จะเป็นตัวคุมจังหวะของเกมเปลี่ยนจากรับเป็นรุก การเคลื่อนที่ การจ่ายบอลแนวลึก และสามารถแก้เพรสซิ่งของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดีเมื่อโดนกดดัน ทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นกันง่ายขึ้น โดยเฉพาะ เอ็นโกโล่ กองเต้ สามารถเล่นได้มีอิสระมากขึ้น วิ่งตัดเกมได้จากทั่วทั้งสนาม แม้ จอร์จินโญ่ จะไม่ใช่ผู้เล่นที่โดดเด่นมากนัก แต่การมีเขาอยู่ในทีมช่วยรักษาสมดุลในแดนกลางได้เป็นอย่างดี และเมื่อมองจากผลงานของเชลซีในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ภายใต้การสั่งการของ โธมัส ทูเคิ่ล แทบจะเปลี่ยนเชลซีเป็นอีกทีมเลยทีเดียว จนกระทั่งประสบความสำเร็จสูงสุดอีกครั้งในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปฎิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จนั้น ส่วนนึงมาจากการทำงานของ จอร์จินโญ่
.
ในขณะเดียวกันกับทีมชาติอิตาลี ยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม จอร์จินโญ่ ก็ได้รับความไว้ว่างใจจาก โรแบร์โต้ มันชินี่ เป็นอย่างมาก เห็นได้จาก เส้นทางในยูโร 2020 จอร์จินโญ่ มีบทบาทอย่างสูงในทีม รับหน้าที่คุมจังหวะของเกมในแดนกลางของทีมชาติอิตาลี ทุกนัดตลอดทั้งทัวร์นาเนมต์ และนั่นเป็นอะไรที่บอกได้เป็นอย่างดีต่อความสำคัญของเขากับทีมชาติอิตาลีชุดนี้ จาก 6 เกมที่ผ่านมาในยูโร 2020 มีเพียงเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับ เวลส์ เพียงเกมเดียวเท่านั้นที่เขาลงเล่นไม่เต็มเกม โดยถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 75 หลังอิตาลีนำอยู่ 1-0 และแทบไม่มีผลอะไรต่อเกมแล้วเมื่อ อิตาลี กำลังจะเข้ารอบเป็นที่หนึ่งในกลุ่มเกือบ100% นอกนั้น จอร์จินโญ่ อยู่ในสนามครบเต็มเวลาทุกเกม
.
จากสไตล์การเล่นของ จอร์จินโญ่ เขาถูกเปรียบเทียบและมองว่าใกล้เคียงกับ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ของ ทีมชาติสเปน โดย เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า เคยให้สัมภาษณ์ก่อนเกมที่ทั้งคู่จะพบกันกับ The Guardian ว่า “จอร์จินโญ่และบุสเก็ตส์ คือ 2 สุดยอดกลางรับที่เล่นในพื้นที่แคบ ๆ ได้ดีมาก พวกเขาฉลาดและเทคนิคสูงเป็นเลิศ ตัดสินใจได้รวดเร็วในสถานการณ์ยาก ๆ ได้ และจ่ายบอลแม่นยำราวจับวาง”
.
“ผมทำงานร่วมกับ จอร์จินโญ่ ในทีมเชลซีมาหลายปี ยืนยันได้ว่า เขาเก่งมากจริง ๆ และมองว่ามีความสำคัญมากต่อทีมชาติอิตาลีชุดปัจจุบัน”
.
แน่นอนว่า ต่อให้ อิตาลี เป็นแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้จริง ซึ่งนั่นจะทำให้เขาคว้ารางวัลใหญ่ได้ทั้ง 2 รายการกับทั้งทีมชาติและระดับสโมสร และกลายเป็นอีกหนึ่งในแข้งประวัติศาสตร์ แต่กับ บัลลง ดอร์ อาจจะดูไม่ใกล้เคียงนัก แม้บรรดาตัวเต็งในปีนี้หลายรายจะน่าผิดหวังเมื่อมองจากความสำเร็จก็ตาม แต่กับฟอร์มส่วนตัวโดยรวมแล้ว ถึง จอร์จินโญ่ จะมีบทบาทสำคัญกับทั้ง เชลซี และ ทีมชาติอิตาลี เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้ดูโดดเด่นหวือหวามากกว่าใคร และเมื่อมองจากที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วรางวัลนี้มักจะมอบให้กับผู้เล่นในเกมบุกเนื่องจากมีผลงานที่ชัดเจนจับต้องได้ซะมากกว่า อีกทั้งเมื่อเทียบกับฟอร์มของ ลูก้า โมดริช ในปีที่พาโครเอเชียได้รองแชมป์โลกด้วยแล้ว จอร์จินโญ่ นับว่ายังห่างอยู่พอสมควร
.
กระนั้นก็ดี ต่อให้ จอร์จินโญ่ จะไม่ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง บัลลง ดอร์ แต่ถ้าทีมชาติอิตาลีของเขาเกิดคว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้จริง ๆ ก็นับว่านี่เป็นปีทองของ จอร์จินโญ่ ในวัยใกล้ 30 ปีอย่างไม่ต้องสงสัย และชื่อของเขาจะได้รับการยกย่องขึ้นอีกมากอย่างแน่นอน
.
.
สิฎฐิเศรษฐ์