19 มิถุนายน 2021 // 10:19 น.

มะกะโรนีแซ่บเว่อร์

หลังจากรอคอยกันมาเป็นแรมปี ก็ได้ฤกษ์เปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่เลื่อนมาเตะปี 2021 และนับจากนัดประเดิมสนามคู่แรก อิตาลี – ตุรกี จนถึงตอนนี้ เราได้เห็นฟอร์มการเล่นของทั้ง 24 ประเทศ จากทั้งหมด 6 กลุ่ม ลงเล่นเกมแรกกันไปหมดแล้ว ในขณะที่บางกลุ่มแข่งขันในนัดที่ 2 ไปแล้วด้วย

.

จากผลการแข่งขันของแต่ละทีม ต้องบอกว่า ฝรั่งเศส ทำได้ดีสมราคาเต็งแชมป์กับ 3 แต้มเหนือ เยอรมนี ขณะที่ อังกฤษ เองก็ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการกับทีมตาหมากรุก ส่วนเต็ง 3 อย่าง เบลเยียม ก็เยี่ยมชมชื่อเอาชนะ รัสเซีย ไปเบา ๆ ที่สกอร์ 3-0 ก่อนตบ เดนมาร์ก ต่ออีก 2-1 และแชมป์เก่าอย่าง โปรตุเกส แม้รูปเกมจะเหนือกว่า ฮังการี บานเบอะแต่ก็ต้องรอถึงช่วงท้ายเกมก่อนจะรัวชนะไป 3-0 เช่นเดียวกับ เนเธอร์แลนด์ส และ อิตาลี ก็ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการเช่นกัน ขณะที่ สเปน เก็บได้เพียงแต้มเดียวในนัดเปิดสนามกับสวีเดน ส่วนเกมพลิกล็อคที่สุดในนัดแรก ยกให้คู่ ฟินแลนด์ ที่เอาชนะเดนมาร์ก 1-0 ในเกมที่มีเรื่องราวให้พูดถึงมากมาย

.

ผ่านนัดแรกกันไปแล้ว บางทีมทำผลงานได้ดีเกินเป้า ส่วนบางทีมยังต้องปรับจูนเพื่อหาความลงตัวกันต่อในนัดถัดไป

.

ต่อเนื่องจากเกมแรกของแต่ละกลุ่ม เข้าสู่เกมนัดที่ 2 ของกลุ่ม A, B และ C อิตาลี, เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์ส ต่างตบเท้าเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้ายได้ตามคาด จากผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการชนะทั้ง 2 นัด เก็บ 6 คะแนนเต็ม โดยเฉพาะทีมเต็งนอกสายตาอย่าง ขุนพลอัซซูร์รี่ ทีมชาติอิตาลี ผลงานของพวกเขาน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง จากการชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ในเกมที่ 2 หลังจากเกมแรกชนะทีมแกร่งอย่าง ตุรกี มาที่สกอร์เดียวกัน ทำให้ไฟสปอตไลท์ต้องกลับมาสาดส่องพวกเขาอีกครั้ง หลังจากที่ถูกมองว่ายูโรคราวนี้ พวกเขาไม่น่าจะดีพอสำหรับการเถลิงแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ในรายการนี้

.

อดีตแชมป์โลก 4 สมัย ดูจะเสียเครดิตไปไม่น้อยทีเดียวหลังปีคว้าแชมป์โลก 2006 ที่เยอรมนี อิตาลีตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ตกรอบแรกในรายการฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2 ปีติด ในปี 2010 และ 2014 ที่แอฟริกาใต้กับบราซิลเป็นเจ้าภาพตามลำดับ ในขณะที่ล่าสุดปี 2018 อิตาลี ไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ำ เป็นการพลาดการลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว

.

กับรายการนี้ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ปี 2008 อิตาลีตกรอบ 16 ทีมด้วยการแพ้ สเปน ในการดวลจุดโทษ, ยูโร 2012 ภายใต้การคุมทีมของ เซซาเร่ ปรันเดลลี แม้จะเกือบกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ก็มาแพ้ทีมกระทิงดุอีกในนัดชิงชนะเลิศ และ ยูโร 2016 แม้จะแก้แค้นคู่ปรับอย่าง สเปน ลงได้ในรอบ 16 ทีม แต่ก็ดีพอแค่นั้น เพราะไม่ผ่าน เยอรมนี ตกรอบ 8 ทีมด้วยการแพ้การยิงจุดโทษไป ทำให้ขุนพลอัซซูร์รี่ห่างหายจากความสำเร็จระดับเมเจอร์ไปกว่า 14 ปี

.

มาคราวนี้กับรายการ ยูโร 2020 ภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ อดีตเฮดโค้ช แมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่เข้ารับงานคุมทีมชาติอิตาลีต่อจาก จามปิเอโร่ เวนตูร่า ซึ่งทำทีมล้มเหลวไม่เป็นท่าในปี 2018 แม้มีสตาร์ดังหลายรายภายในทีม จานลุยจิ บุฟฟอน คือหนึ่งในนั้น ผู้รักษาประตูระดับตำนาน ดูจะเป็นคนที่ผิดหวังที่สุดคนหนึ่งสำหรับการรีไทร์ทีมชาติอย่างเจ็บปวด บุฟฟ่อน เคยหล่นความรู้สึกทั้งน้ำตาไว้ว่า “ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้เสียใจกับตัวเองหรอก แต่ผมเสียใจกับวงการฟุตบอลอิตาลี พวกเราล้มเหลว ซึ่งหมายถึงบางอย่างที่มีความหมายมาก ๆ แน่นอนว่าทีมชาติอิตาลียังมีอนาคตอยู่ พวกเรายังมีความภูมิใจ ความสามารถ ความมุ่งมั่น และพวกเราจะต้องหาทางกลับมา ถึงแม้ผมจะจากทีมชาติไป…”

.

จากความล้มเหลวในวันนั้น มาวันนี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ พาทีมชาติอิตาลี กลับมาเดินสง่าผ่าเผยอีกครั้ง อย่างที่ทราบกัน อิตาลี ไม่แพ้ให้ใครอีกเลยหลังแพ้ครั้งสุดท้ายเกมกับ โปรตุเกส ในรายการยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อ 10 กันยายน 2018

.

นับเป็น 29 นัดติดเข้าไปแล้ว เมื่อสิ้นสุดเกมกับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่อิตาลีสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น แบ่งเป็นชนะ 24 เสมอ 5 เกม และจากชัยชนะ 10 นัดติดต่อกันโดยไม่เสียความบริสุทธิ์ให้ใคร ทำให้หัวใจแฟนบอลอัซซูร์รี่กลับมาพองโตเกินบรรยาย

.

จริงอยู่ที่ 10 เกมหลังสุดที่ว่า พวกเขาเจอคู่แข่งที่ต่ำชั้นกว่าทั้ง เอสโตเนีย, โปแลนด์, บอสเนียฯ, ไอร์แลนด์เหนือ, บัลแกเรีย, ลิธัวเนีย, ซาน มารีโน่, เช็ก, ตุรกี และ สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ยากเกินไปนักกับชัยชนะ แต่การไม่เสียสักประตูเดียวและยิงคู่แข่งได้เกิน 2 ประตูทุกนัดต้องยอมรับว่าเป็นความยอดเยี่ยมของขุนพลอัซซูร์รี่อย่างมาก

.

อะไรที่ทำให้ อิตาลี บินได้สูงขนาดนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับในมันสมองและการวางระบบของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ทั้งที่ อิตาลี ในยุคนี้ แทบจะไร้ซูเปอร์สตาร์ดาวดังเหมือนเช่นยุคก่อน ๆ จากเกมยูโรทั้ง 2 นัดที่ผ่านมาจะเห็นว่า รูปแบบการเล่นในระบบ 4-3-3 ดูลงตัวมากสำหรับอิตาลีชุดนี้ จุดเด่นสำคัญของ อิตาลี ทุกยุคทุกสมัย คือความเขี้ยวลากดินของเกมรับ โดยกองหลังอิตาลีขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความแข็งแกร่ง และนับเป็นข้อดีของ อิตาลี ชุดนี้ ที่คู่เซนเตอร์แบ็กอย่าง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ – จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กลับมาเล่นร่วมกันอีกครั้งในนามทีมชาติ หลังคิเอลลินี่ วัย 36 ปี เคยประกาศเลิกเล่นไปแล้วตอนตกรอบคัดเลือกบอลโลก 2018

.

โบนุชชี่และคิเอลลินี่ เล่นร่วมกันมาอย่างยาวนานทั้งกับทีมชาติและกับสโมสรยูเวนตุสตั้งแต่ปี 2010 ทั้งคู่เล่นเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างมาก อาจจะมากกว่าภรรยาที่บ้านด้วยซ้ำไป แต่ด้วยวัย 70 ปีรวมกันของทั้งคู่อาจมีปัญหากับความเร็วของฝ่ายตรงข้าม แต่ขุนพลอัซซูร์รี่ก็มี ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ กองหลังคนสำคัญของ ลาซิโอ กับ อเลสซานโดร บาสโตนี่ ดาวรุ่งเนื้อหอมวัย 22 ปี จาก อินเตอร์ มิลาน เป็นตัวเลือก ในขณะที่ฝั่งซ้าย โรแบร์โต้ มันชินี่ เลือกใช้ เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า จากค่ายโรม่า เป็นตัวหลัก ส่วนด้านขวาเป็น อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ ได้ลงเล่นก่อนในเกมแรก ก่อนที่ครึ่งเวลาหลังเปลี่ยนมาใช้งาน โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ และแข้งจากนาโปลีก็ทำได้ดีเยี่ยมจนได้โอกาสในเกมต่อมา บวกกับประสบการณ์ที่มากขึ้นของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายด่านเอซี มิลาน ทำให้เกมรับของ อิตาลี ไว้ใจได้ขึ้นเยอะเลย

.

ถัดมาในการคุมเกมในแดนกลาง จอร์จินโญ่ บทบาทของเขากับ เชลซี และทีมชาติอิตาลี แทบไม่ได้แตกต่าง โดยเฉพาะผลงานในปีนี้ของเขากับต้นสังกัดบ่งบอกได้ดีกับฟอร์มอันยอดเยี่ยม ในขณะที่ นิโกโล่ บาเรลล่า กองกลางวัย 23 ปีจาก อินเตอร์ มิลาน ก็อยู่ในช่วงฟอร์มที่ดีสุด ๆ เช่นกัน เขาเล่นได้อย่างเนียนตา การจ่ายบอล การขึ้นเกม ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ และเชื่อว่าถ้าจบยูโรหนนี้ ค่าตัวของเขาคงพุ่งกระฉูดแน่นอน เมื่อได้รับความสนใจจากทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด โดยเฉพาะรายหลังที่หวังเอาไปแทนที่ ลูก้า โมดริช ที่วัยใกล้เกษียณ

.

ส่วน มานูเอล โลคาเตลลี่ จาก ซาสซูโอโล่ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีดีอะไรในการเบียดลงตัวจริงทั้ง 2 เกม ดาวเตะวัย 23 ปีเล่นได้อย่างแข็งแกร่งทั้งรับ และมีทีเด็ดจากการทำประตู โดยยิงได้ถึง 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อทั้ง 3 คนเล่นรวมกันในแดนกลางได้อย่างลงตัวทั้งเกมรุกและรับทำให้ กองหลังและกองหน้าทำงานง่ายขึ้น โดยมี ไบรอัน คริสตันเต้ จากโรม่า เป็นตัวสอดแทรกอีกคน

.

ขณะที่ 3 ประสานในแดนหน้า โรแบร์โต้ มันชินี่ เลือกใช้งาน ชิโร่ อิมโมบิเล่ ดาวยิงจากลาซิโอ กับ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ จากนาโปลี เป็นตัวหลักอยู่แล้ว จากผลงานอันร้อนแรงในลีกฤดูกาลนี้ของทั้งคู่ ในขณะที่ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ 17 ประตูกับ ซาสซูโอโล่ ในฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้เขาได้โอกาสเป็นตัวจริงแทนที่ เฟดริโก้ เคียซ่า นักเตะพรสวรรค์สูง ในการออกสตาร์ท 2 เกมแรก

.

เมื่อมองจากขุนพลทั้ง 26 คนชุดนี้ของทีมชาติอิตาลี มีเพียงแค่ 6 คนที่เคยผ่านเกมใหญ่ระดับเมเจอร์ จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่, ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ทั้ง 6 คนมีประสบการณ์ในเกมใหญ่มากกว่าใคร เพราะอย่างน้อยเคยผ่านเกมยูโร 2016 มาแล้ว แต่กับอีก 20 คนที่เหลือนี่คือทัวร์นาเมนต์แรกของพวกเขา

.

แต่จากฟอร์มการเล่นของทีมชาติอิตาลีชุดนี้ ในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 ทั้ง 2 เกมที่ผ่านมาได้รับคำชมเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เชื่อว่า อิตาลี จะไปได้ไกลถึงแชมป์ เช่น ปาทริค วิเอร่า – “ผมคิดว่า 2 เกมแรกของพวกเขาเป็นเกมที่ง่ายมาก ๆ แน่นอนว่าคุณต้องเอาชนะทีมที่อยู่ต่อหน้าคุณให้ได้” ในขณะที่ แกรี่ เนวิลล์ ก็ออกมาพูดในทำนองเดียวกัน แต่กระนั้นก็ดี คงต้องติดตามกันต่อไปว่าทีมเต็งนอกสายตาที่กลับมาอยู่ในสายตาอีกครั้งจะทำได้ดีขนาดไหนในนัดต่อ ๆ ไป

.

เชื่อว่าในเกมถัดไปกับ ทีมชาติเวลส์ โรแบร์โต้ มันชินี่ น่าจะโรเตชั่นนักเตะอยู่พอสมควรเพื่อเก็บความสดไว้ในเกมรอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย แต่จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าเกิดถึงแพ้ขึ้นมา งานในรอบถัดไปจะยากขึ้นอย่างแน่นอน

.

น่าสนใจจริง ๆ ครับ จากมะกะโรนีจืดชืดไร้รสชาติ โรแบร์โต้ มันชินี่ และขุนพลอัซซูร์รี่ จะรังสรรค์ให้กลายเป็นเมนูเด็ด มะกะโรนีจี๊ดจ๊าดแซ่บเว่อร์ได้แค่ไหน ต้องติดตามในทัวร์นาเมนต์ยูโรหนนี้ครับ

.

– สิฎฐิเศรษฐ์ –