หลังจบเบรคทีมชาติในโปรแกรมคัดเลือกฟุตบอลโลกของชาติต่าง ๆ ฝากฝั่งยุโรป ทีมชาติอิตาลี เจ้าของตำแหน่งแชมป์ยูโร 2020 ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติได้อย่างต่อเนื่อง แม้ผลงานโดยรวมของทั้ง 3 นัดในโปรแกรมคัดเลือกบอลโลกล่าสุด อาจไม่ได้สวยหรูนัก หลังเปิดบ้านเสมอบัลแกเรีย 1-1, บุกเสมอสวิตเซอร์แลนด์ 0-0 และปิดท้ายถล่มลิธัวเนีย ในบ้านไป 5-0 แต่กระนั้นยังดีพอในการสร้างสถิติใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานถึง 37 นัดเข้าไปแล้วหลังจบแมตช์กับ ลิธัวเนีย แซงหน้าสถิติตลอดกาลของ บราซิล และ สเปน ที่ทำไว้ที่ 35 นัด และแมตช์ดังกล่าวยังเป็นการสร้างสถิติยิง 4 ประตูภายใน 30 นาที ได้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอิตาลีเองอีกด้วย
อย่างไรก็ดี บนช่วงเวลาที่ทีมชาติอิตาลี หลังผ่านพ้นช่วงเวลาตกต่ำ ภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ กำลังเดินหน้าพุ่งชนกับความสำเร็จ พร้อมสร้างสถิติใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น หากแต่ลองมองย้อนกลับมาดูในระดับสโมสรแล้ว ช่างดูย้อนแย้งกันเสียนี่กระไร เมื่อผลงานอันเอกอุที่เคยสร้างไว้ในอดีตกำลังจะกลายเป็นแค่เรื่องเล่าปลายปากกา และถูกลืมเลือนตามกาลเวลา
ครั้งหนึ่ง เอซี มิลาน เคยไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า ในยุคสมัยของ 3 ทหารเสือชาวดัตช์ (มาร์โก แวน บาสเท่น – รุด กุลลิต – แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด) อีกทั้ง เปาโล มัลดินี่, ฟรังโก้ บาเรซี่, คาร์โล อันเชล็อตติ ก็เริ่มสร้างชื่อในยุคนั้นเช่นกัน ภายใต้การทำทีมของ อาร์ริโก้ ซาคคี่ ปรมาจารย์ลูกหนังผู้ให้กำเนิด เพรสซิ่ง ฟุตบอล และต่อเนื่องมาถึงยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ นักเตะอย่าง ซโวนีเมียร์ โบบัน, ฌอง-ปิแอร์ ปาแปง, จอร์จ เวอาห์, โรแบร์โต้ บาจโจ้, โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ เคยเป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาให้ลีกอิตาลีได้รับความสนใจไม่แพ้ลีกใดในโลก ก่อนจะซาลงไปและกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในปี 2006-07 ในยุคของ อังเดร เชฟเชนโก้, ริคาร์โด้ กาก้า (ผีกาก้า), ฟิลิปโป้ อินซากี้, เปาโล มัลดินี่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่ อันเป็นยุคสุดท้ายที่ “รอสโซเนรี่” ประสบความสำเร็จในเวทียุโรป
ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน เองก็เคยพาลีกอิตาลีขึ้นสู่จุดสูงสุดมาแล้วเช่นกัน เจ้าม้าลาย ยูเวนตุส ไฉไลเกรียงไกรในยุคของ มิเชล พลาตินี่ แต่ให้ใกล้กว่านั้น ในยุคที่มี เฮดโค้ชอย่าง มาร์เซลโล่ ลิปปี้ ยูเวนตุส คือทีมที่เก่งกาจไม่แพ้ใครเช่นกัน ด้วยผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพหลายคนอาทิเช่น ฟิลิปโป้ อินซากี้, ซีเนอดีน ซีดาน, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, จานลุยจิ บุฟฟ่อน, พาเวล เนดเวด ทำให้เจ้าม้าลายกอบโกยแชมป์ได้อย่างมากมาย
งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน สโมสรเดียวบนลีกมะกะโรนีที่ไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็เคยมียุคทองคว้าทริปเปิ้ลแชมป์อันยิ่งใหญ่ในปี 2009-10 ด้วยฝีมือของ โซเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชชาวโปรตุกีส โดยมีแกนหลักอย่าง เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ซามูเอล เอโต้, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และการคว้าแชมป์ในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายในการประกาศศักดาของเหล่ายอดทีมจากอิตาลีบนเวทียุโรป
ยิ่งกับถ้วยใบเล็กอย่าง ยูโรป้า ลีก ด้วยแล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เมื่อการคว้าแชมป์ของทีมจากลีกอิตาลีเกิดขึ้น ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1998-99 กันเลยทีเดียว ภายใต้ชื่อเดิมอย่าง ยูฟ่า คัพ โดยทีมที่คว้าแชมป์เป็นทีมสุดท้ายคือ ปาร์ม่า
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเวลานี้ พรีเมียร์ลีก หรือ ลา ลีกา ทิ้งห่างพวกเขาไปไกลโข กระทั่ง บุนเดสลีกา หรือแม้แต่ ลีก เอิง ความสนใจจากแฟนบอลก็ไม่ได้น้อยไปกว่า กัลโช่ เซเรีย อา ด้วยซ้ำไป เมื่อพวกเขามีดาราระดับแม่เหล็กไว้ดึงดูด เมื่อเป็นเช่นนั้นไม่ต้องสงสัยว่าทำไมหลาย ๆ ทีมถึงยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้านักเตะเพียงไม่กี่คนเข้ามายังสโมสร เห็นได้ชัดจากระหว่างปี 2013-14 ถึง 2018-19 แชมป์ยุโรปใบโตตกอยู่ในมือสโมสรมหาอำนาจจากสเปน เรอัล มาดริด – บาร์เซโลน่า – เรอัล มาดริด – เรอัล มาดริด – เรอัล มาดริด คือคำตอบที่ว่า นักเตะระดับที่พิเศษ สร้างความแตกต่างได้ขนาดไหน ก่อนที่ทีมจากพรีเมียร์ลีกจะรับไม้ต่อครองความยิ่งใหญ่ใน 2-3 ปีให้หลัง
ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, นาโปลี, โรม่า, ลาซิโอ, ฟิออเรนติน่า, ปาร์ม่า ทีมเหล่านี้เคยมีซูเปอร์สตาร์ดาวดัง แวะเวียนสร้างความทรงจำให้แฟนบอลยุคก่อน แต่กับปัจจุบันแทบจะไม่มีผู้เล่นให้ตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะกับสองทีมหลังไม่ต่างอะไรกับทีมเกรดซีหรือดีไปแล้ว และการย้ายออกของสตาร์ระดับโคตรแม่เหล็กอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ทำให้ เซเรีย อา แทบจะไม่ต่างจากพัทยา ที่หลงเหลือความน่าหลงใหลไว้แค่ความทรงจำ
เล่ามาก็พลางให้เคี้ยวหมากไปพลาง นานเหลือเกินครับกับความสำเร็จของสโมสรฟุตบอลลีกอิตาลีบนแผ่นดินยุโรป อะไรทำให้พวกเขาย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังลงคลองได้ขนาดเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ในระดับชาติ ทีมชาติของพวกเขาเพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา ด้วยนักเตะเกือบทั้งทีมค้าแข้งอยู่ในประเทศบ้านเกิดตัวเอง
ได้แต่หวังว่าในเร็ววันบรรดายอดทีมในอดีตเหล่านี้จะกลับมาประกาศศักดาได้อีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกันกับในนามทีมชาติ
สิฎฐิเศรษฐ์