16 พฤษภาคม 2021 // 10:30 น.

ตั๋วใบสุดท้ายกับ ‘ผู้แย่งชิง’ ทั้ง 4

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ณ เวลานี้ใกล้ได้บทสรุปของทั้งหมดเต็มแก่แล้ว และเป็นที่ทราบโดยทั่วกันแล้วว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือแชมป์พรีเมียร์ลีก 2020/21 เป็นที่เรียบร้อย ส่วนทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ อย่างปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การันตีพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าได้แน่นอนแล้ว เหลือให้ได้ลุ้นกันต่อกับอีก 2-3 โควต้าที่ยังเหลือสำหรับถ้วยบิ๊กเอียร์ปีหน้า เชลซี, เลสเตอร์, เวสต์แฮม, ลิเวอร์พูล อาจต้องลุ้นกันยันนัดสุดท้าย (กรณีที่เชลซีสามารถคว้าแชมป์ ชปล. ได้แต่ไม่สามารถจบในอันดับ 1-4 ในลีก ทีมจากอังกฤษจะได้สิทธิ์เข้าร่วมเป็น 5 ทีม)

ขณะเดียวกัน มองไปที่ด้านล่างของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ชัดเจนแล้วว่าทีมที่ต้องลงไปเริ่มใหม่ลีกแชมเปี้ยนชิพในฤดูกาลหน้าได้แก่ ฟูแล่ม, เวสต์บรอมวิช และ เชฟฟิลด์ยูไนเต็ด ครบถ้วนจำนวนความทั้ง 3 ทีมเป็นที่เรียบร้อย

แน่นอนว่ามีทีมตกชั้นก็ต้องมีทีมเลื่อนชั้น โดยตอนนี้ได้มาแล้ว 2 ทีม ซึ่งแฟนบอลคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี นอริช ซิตี้ และ วัตฟอร์ด แชมป์และรองแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 2020-21 ทั้ง 2 ทีมเพิ่งจะตกชั้นไปเมื่อฤดูกาลก่อน แต่กระนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาแค่ปีเดียวในการกลับขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดได้อีกครั้ง ทิ้งให้อีก 4 ทีม ต้องมาลุ้นตั๋วใบสุดท้ายด้วยการเล่นเพลย์ออฟหาตัวแทนทีมท้ายสุด

ตารางคะแนนเดอะแชมเปี้ยนชิพ เมื่อจบฤดูกาล 2020-21

  1. นอริช ซิตี้ 46 นัด 97 คะแนน (เลื่อนชั้นอัตโนมัติ)
  2. วัตฟอร์ด 46 นัด 91 คะแนน (เลื่อนชั้นอัตโนมัติ)
  3. เบรนท์ฟอร์ด 46 นัด 87 คะแนน (เพลย์ออฟ)
  4. สวอนซี ซิตี้ 46 นัด 80 คะแนน (เพลย์ออฟ)
  5. บาร์นสลี่ย์ 46 นัด 78 คะแนน (เพลย์ออฟ)
  6. บอร์นมัธ 46 นัด 77 คะแนน (เพลย์ออฟ)

อาจจะดูไม่ยุติธรรมนักสำหรับ เบรนท์ฟอร์ด ที่จบในอันดับ 3 ของลีกแต่กลับต้องมาลุ้นเหนื่อยกับการเตะเพลย์ออฟอีก แต่เมื่อกติกาออกแบบมาเช่นนี้ก็ต้องว่าตามกติกากันไป ซึ่งอีกหลาย ๆ ประเทศก็ใช้กฎกติกาทำนองนี้ โดยการประกบคู่ในรอบเพลย์ออฟวางไว้ให้อันดับ 3 เจออันดับ 6 และอันดับ 4 เจอกับอันดับ 5 โดยแข่งกันแบบเหย้าเยือนและทีมที่อันดับในลีกดีกว่าได้สิทธิ์เป็นทีมเยือนก่อน

บอร์นมัธ (อันดับ 6) – เบรนท์ฟอร์ด (อันดับ 3)
บาร์นสลี่ย์ (อันดับ 5) – สวอนซี ซิตี้ (อันดับ 4)

โดยที่เกมแรกแข่งกันวันจันทร์ที่ 17 พ.ค. และแข่งนัดสองวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. เพื่อหาคู่ผู้ชนะไปชิงตั๋วพรีเมียร์ลีกใบสุดท้ายกันที่เวมบลีย์ ในวันเสาร์ที่ 29 พ.ค. กันอีกที แต่ก่อนที่จะได้ตัวแทนทีมสุดท้ายเรามาทำความรู้กับผู้ท้าชิงทั้ง 4 กันคราว ๆ ซะหน่อย

เบรนท์ฟอร์ด ฉายา “เดอะ บีส์” หรือ “เจ้าผึ้งน้อย” (น่ารักไป๊!) ตั้งอยู่แถบทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1889 โดยแต่เดิมใช้สนามเหย้าภายใต้ชื่อ กริฟฟินพาร์ค ก่อนเปลี่ยนเป็น “เบรนท์ฟอร์ด คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม” ที่ใช้ในปัจจุบัน จุแฟนบอลได้ราว 17,250 ที่นั่ง “เดอะบีส์” ยังไม่เคยมีโอกาสได้โลดแล่นในลีกสูงสุดภายใต้ชื่อพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่ฤดูกาลเดียว แต่ถ้านับดิวิชั่น 1 เดิมต้องย้อนไปไกลถึงช่วงปี 1935-1940 โน่นเลย

ในฤดูกาลที่แล้วพวกเขาใกล้เคียงมาก ๆ กับพรีเมียร์ลีก จบในอันดับ 3 ได้สิทธิ์เพลย์ออฟและสามารถไปเวมบลีย์เพื่อชิงตั๋วกับ ฟูแล่ม เกมจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ใน 90 นาที แต่ท้ายสุดแล้วเป็น ฟูแล่ม ที่สมหวังในช่วงต่อเวลา ชนะไป 2-1 ทำให้เบรนท์ฟอร์ดอกหักอย่างน่าเสียดาย มาปีนี้ โทมัส แฟร้งค์ ยังพาลูกทีมรักษามาตรฐานเดิมจากปีที่แล้วได้ โดยมี อีวาน โทนี่ย์ หัวหอกอังกฤษเชื้อสายจาไมก้า เป็นตัวทีเด็ดในแดนหน้า ยิงไป 31 ประตูในลีก น่าสนใจทีเดียวว่าประสบการณ์จากปีก่อนจะช่วยให้พวกเขาสามารถขึ้นมาเล่นเวทีพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่

สวอนซี ซิตี้ ฉายา “หงส์ขาว” สวอนซี เป็นสโมสรที่ตั้งอยู่ในประเทศเวลส์ แต่ลงเล่นในลีกของอังกฤษ ก่อตั้งปี 1912 ในชื่อ สวอนซี ทาวน์ ก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็น สวอนซี ซิตี้ ในปี 1969 ปัจจุบันใช้สนาม “ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม” เป็นรังเหย้า จุแฟนบอลได้ 20,750 ที่นั่ง

สวอนซี เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในปี 1981 ภายใต้การคุมทีมของ จอห์น โตแช็ค หลังจากนั้นก็ตกชั้นอย่างยาวนาน กระทั่งกลับมาเล่นบนเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2010-11 และตกชั้นไปอีกในฤดูกาล 2017-18 ความสำเร็จเดียวของสวอนซีคือการคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้ในปี 2013 ในยุคของกุนซือ ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป ทำให้ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันรายการยูโรป้า ลีก ในปีถัดมา แต่ก็แพ้ให้กับทีมแกร่งอย่าง นาโปลี ตกรอบไป

สวอนซี เกือบจะกลับขึ้นมาเวทีพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ภายใต้การคุมทีมของ สตีฟ คูเปอร์ พวกเขาจบในอันดับ 6 แชมเปี้ยนชิพ ได้สิทธิ์เพลย์ออฟ แต่ก็ไปแพ้ให้แก่ เบรนท์ฟอร์ด ซะก่อน มาปีนี้ สวอนซี มีโอกาสที่จะกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง โดยมีตัวเก่งอย่าง อองเดร อายิว และ จามัล โลว์ ที่ช่วยกันยิงรวมกัน 30 ประตูในฤดูกาลนี้

บาร์นสลี่ย์ ฉายา “เดอะไทค์ส” หรือ “เจ้าตูบ” ที่บ้านเราเรียกกัน สโมสรก่อตั้งในปี 1887 ในชื่อ “บาร์นสลี่ย์ เซนต์ ปีเตอร์ส” มี โอ๊คเวลล์ สเตเดี้ยม เป็นสนามเหย้าความจุประมาณ 23,287 ที่นั่ง บาร์นสลี่ย์เคยมีโอกาสลงเล่นบนเวทีพรีเมียร์ลีกเพียงแค่ 1 ฤดูกาลเท่านั้นในฤดูกาล 1997-98 ก่อนตกชั้นลงไปและหายหน้าหายตาไปไกลถึงลีก วัน อันเป็นลีกลำดับที่ 3 ก่อนที่พวกเขาจะกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยการเลื่อนชั้นจากลีกวัน ขึ้นมาเล่นบนลีกแชมเปี้ยนชิพในฤดูกาล 2018-19 และเกือบตกชั้นลงไปอีกครั้งเมื่อจบในอันดับ 21 ของตาราง มีคะแนนเหนือทีมตกชั้นเพียงคะแนนเดียวในฤดูกาล 2019-20 ทว่าถัดมาในฤดูกาลปัจจุบันกลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จบในอันดับที่ 5 ได้สำเร็จ ทำให้มีโอกาสกลับขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดได้อีกครั้ง โดยพวกเขาคุมทีมโดยอดีตดาวเตะดังอย่าง วาเลเรียง อิสมาแอล และมี คอลี่ย์ วู้ดโรว์ เป็นตัวจบสกอร์ความหวัง

ภาพจำในอดีตที่ทำให้เรารู้จัก “เจ้าตูบ” มากขึ้น ก็คือการเขี่ย ลิเวอร์พูล ตกรอบ 5 ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในปี 2019 นั่นเอง

บอร์นมัธ ฉายา “เดอะ เชอร์รี่ส์” หรือเทพีแดงดำ มี “ไวทัลลิตี้ สเตเดี้ยม” เป็นรังเหย้าความจุ 11,360 ที่นั่ง ในอดีต บอร์นมัธ เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-16 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสโมสรในปี 1890

บอร์นมัธ โลดแล่นในเวทีพรีเมียร์ลีกอยู่หลายฤดูกาล และเคยทำอันดับดีสุดถึงอันดับที่ 9 มีลุ้นไปถ้วยยุโรปเล็ก ๆ แต่แล้วก็ต้องตกชั้นลงสู่เดอะแชมเปี้ยนชิพไปในฤดูกาล 2019-20 หรือเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เช่นเดียวกับ นอริช และ วัตฟอร์ด มาในปีนี้ บอร์นมัธภายใต้การทำทีมของ โจนาธาน วู้ดเกต จบในอันดับ 6 ยังต้องลุ้นเหนื่อยในรอบเพลย์ออฟ ว่าจะตาม 2ทีมที่ว่าขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดพร้อมกันได้หรือไม่ โดยมี โดมินิก โซลันเก้ เป็นดาวยิงของทีม

บทสรุปว่าท้ายที่สุดแล้วน้องใหม่รายสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2020-21 จะเป็นทีมใด จะเป็นทีมใหม่แกะกล่องอย่าง เบรนท์ฟอร์ด ที่ได้เพลย์ออฟ 2 ปีติด หรือเจ้าเก่าหน้าประจำอย่าง สวอนซี ซิตี้, บอร์นมัธ หรือทีมที่ห่างหายไปนานกว่า 20 ปีอย่าง บาร์นสลี่ย์ ต้องตามดูกันต่อ

แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ขึ้นชั้น หวังว่าจะไม่เพียงขึ้นมาสร้างสีสันวูบวาบ แล้วจบลงด้วยการดิ้นรนหนีตกชั้น ดั่งคำที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ดีเกินกว่าแชมเปี้ยนชิพ แต่ไม่ดีพอสำหรับพรีเมียร์ลีก” ก็แล้วกัน

– สิฎฐิเศรษฐ์ –