พักเรื่องโปรเจ็กต์ซูเปอร์ลีกไว้ก่อน แล้วมาว่ากันต่อเกมสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นอกจากโปรแกรมลีกที่จะแข่งขันกันตามปกติแล้ว คืนวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน เวลาดี 4 ทุ่มครึ่งตามเวลาบ้านเรา ยังมีเกมคู่ชิงชนะเลิศรายการ “EFL CUP” หรือ คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน (เปลี่ยนชื่อตามผู้สนับสนุนในปีนั้น ๆ)
คู่ชิงในปีนี้ เป็นการพบกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งมีความน่าสนใจอื่นนอกเหนือจากตำแหน่งแชมป์ ก่อนอื่นเรามาย้อนดูทำเนียบแชมป์ในรายการนี้กันหน่อย
• ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ 8 สมัยจากการเข้าชิง 12 ครั้ง
• แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ 7 สมัยจากการเข้าชิง 8 ครั้ง
• แอสตัน วิลล่า คว้าแชมป์ 5 สมัยจากการเข้าชิง 9 ครั้ง
• แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ 5 สมัยจากการเข้าชิง 9 ครั้ง
• เชลซี คว้าแชมป์ 5 สมัยจากการเข้าชิง 8 ครั้ง
• สเปอร์ส คว้าแชมป์ 4 สมัยจากการเข้าชิง 8 ครั้ง
เมื่อดูจากสถิติของ แมนฯ ซิตี้ แล้ว นับว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว เมื่อพวกเขาพลาดการคว้าแชมป์เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นจากการเข้าชิงชัยทั้งหมด 8 ครั้ง โดยเป็นการแพ้ให้กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1 ย้อนไปไกลในปี 1973-1974 โน่นเลย ซึ่งเป็นการเข้าชิงเป็นครั้งที่สอง และหลังจากแพ้วูล์ฟส์ในครานั้น อีก 6 ครั้งต่อมาที่ได้เข้ารอบชิงฯ เรือคว้าแชมป์เรียบ
ความยอดเยี่ยมต่อเนื่องของเรือใบสีฟ้าในรายการนี้คือ พวกเขาสามารถป้องกันแชมป์ได้ถึง 3 สมัยซ้อน เริ่มจากปี 2017/18 คว้าแชมป์ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล 2-0 ถัดมาปี 2018/19 ป้องกันแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษ เชลซี 4-3 หลังเสมอในเวลา 0-0 และปีล่าสุด 2019/20 เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ได้ 2-1
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีทีมที่ทำสถิติป้องกันแชมป์รายการนี้ได้มากกว่าพวกเขา และก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอีก เป็นหงส์แดง ลิเวอร์พูล อดีตแชมป์ 8 สมัยในรายการนี้นั่นเอง โดยลิเวอร์พูลเคยทำสถิติไว้ที่คว้าแชมป์ติดต่อกัน 4 สมัยซ้อน ในยุค 80
กลับมาที่คู่ชิงปีนี้ ซึ่งดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูจะเข้าทาง แมนฯ ซิตี้ ไม่น้อย เมื่อทางสเปอร์สสั่งปลดฟ้าผ่า โชเซ่ มูรินโญ่ ออกจากการเป็นเฮดโค้ช รวมถึงทีมงานสตาฟโค้ชของเขาด้วย พร้อมกับแต่งตั้ง ไรอัน เมสัน และ คริส พาวล์ คุมทีมแทนชั่วคราวก่อนที่จะถึงเกมนัดชิงเพียงไม่ถึงสัปดาห์ มีผลกับการเตรียมทีมแน่นอน
รวมถึงอาการบาดเจ็บของศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน โดยทางเคนได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าจากเกมเสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2เมื่อ 16 เมษายนที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าต้องพักราว ๆ 2-3 สัปดาห์ ตามรายงายของ เดลี่ เมล สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี ซึ่งถ้าหากไม่มี แฮร์รี่ เคน จริง ๆ ประสิทธิภาพเกมรุกของสเปอร์สน่าจะหายไปเยอะเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันซิตี้เองก็ต้องลุ้นจอมทัพอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ เช่นกันจากการบาดเจ็บนัดเจอเชลซี ในฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองฯ ว่าจะพร้อมหรือเปล่าสำหรับเกมนี้
โดยสถิติการพบกันของทั้งสองทีม 10 นัดหลังสุด แยกเป็น แมนฯ ซิตี้ชนะ 6 เสมอ 1 สเปอร์สชนะ 3 ครั้ง
14/02/21 แมนฯ ซิตี้ 3-0 สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก)
22/11/20 สเปอร์ส 2-0 แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
02/02/20 สเปอร์ส 2-0 แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
17/08/19 แมนฯ ซิตี้ 2-2 สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก)
20/04/19 แมนฯ ซิตี้ 1-0 สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก)
18/04/19 แมนฯ ซิตี้ 4-3 สเปอร์ส (ชปล.)
10/04/19 สเปอร์ส 1-0 แมนฯ ซิตี้ (ชปล.)
30/10/18 สเปอร์ส 0-1 แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
15/04/18 สเปอร์ส 1-3 แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
17/12/17 แมนฯ ซิตี้ 4-1 สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก)
แม้ว่ารายการนี้รอบที่ผ่าน ๆ มา ทั้งสองทีมใช้นักเตะผสมตัวสำรองลงเล่นซะส่วนใหญ่ แต่การเดิมพันด้วยตำแหน่งแชมป์ในเกมนี้แล้วคงไม่มีทีมใดอยากเป็นผู้แพ้อย่างแน่นอน ดังนั้นเชื่อว่าคู่นี้จะเป็นเกมที่น่าดูเกมหนึ่ง แม้ว่าโอกาสคว้าแชมป์ดูจะเข้าทางซิตี้มากกว่า จากสถิติและปัจจัยหลักที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ใช่ว่าสเปอร์สจะไม่มีทางคว้าแชมป์ วงการฟุตบอล ผลการแข่งขันไม่มีอะไรแน่นอน
คืนวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายนนี้ มาลุ้นกันครับว่าทีมใดจะคว้าถ้วยใบนี้ไปครอง พร้อมกับสถิติจะถูกเทียบเคียงหรือหยุดอยู่แค่นี้ รอรับชมไปพร้อม ๆ กันครับ
– สิฎฐิเศรษฐ์ –